ข่าวฟุตบอลล่าสุดประวัติราชาลูกหนังฟุตบอล วาไรตี้

โยฮัน ครัฟฟ์ ตำนานนักเตะดัตช์ จากเด็กเล่นบอลข้างถนน สู่ผู้วางฐานให้บาร์ซ่า-อาแจ็กซ์ เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพครั้งแรกเมื่ออายุ 17 ปี

โยฮัน ครัฟฟ์ ตำนานนักเตะดัตช์ จากเด็กเล่นบอลข้างถนน สู่ผู้วางฐานให้บาร์ซ่า-อาแจ็กซ์

โยฮันน์ ครัฟฟ์’ ตำนานนักเตะดัตช์ คืออีกหนึ่งผู้วางรากฐานระบบฟุตบอลให้สโมสรบาร์เซโลน่า อาแจ็กซ์ ส่งอิทธิพลไปถึงทีมชาติเนเธอร์แลนด์ เขาเริ่มต้นจากเด็กที่เตะฟุตบอลข้างถนน

โยฮัน ครัฟฟ์

 โยฮัน ครัฟฟ์ ยอดนักเตะแห่งทีมอัศวินสีส้ม เนเธอร์แลนด์ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักเตะที่มีลีลาการเล่นสง่างามที่สุดจนได้ฉายาว่า “นักเตะเทวดา” ครัฟฟ์เกิดในเมืองอัมสเตอร์ดัม โดยบ้านเกิดของเขาอยู่ห่างจากสโมสรที่ยิ่งใหญ่อย่าง อาแจ็กซ์ เพียงไม่กี่ร้อยเมตร ซึ่งพ่อแม่ของเขาต่างก็ทำงานในสโมสรฟุตบอลแห่งนี้ด้วย

ทั้งนี้ ครัฟฟ์ เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพครั้งแรกเมื่ออายุ 17 ปี กับสโมสรอาแจ็กซ์ ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นสโมสรกึ่งอาชีพอยู่ จนกระทั่ง 2 ปีต่อมาอาแจ็กซ์กลายเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จที่สุดของโลก และด้วยลีลาการเล่นที่รวดเร็วและสร้างสรรค์ ที่เรียกกันว่า “Total Football” ของเขา ทำให้ครัฟฟ์เป็นหัวใจหลักของทีมได้เสมอมา จนหลาย ๆ ครั้งที่การเล่นของเขานำมาซึ่งชัยชนะให้กับทางอาแจ็กซ์ และทีมชาติเนเธอร์แลนด์ได้หลายครั้งหลายครา

ผลงานในสนามของโยฮัน ครัฟฟ์ เองก็เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาแฟนบอลทั่วโลกอย่างเห็นได้ชัด โดยเขานำอาแจ็กซ์คว้าชัยด้วยผลงานการทำประตู 25 ลูก ใน 23 นัด คว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมตั้งแต่อายุ 18 ปี หลังจากนั้นก็พาสโมสรคว้าแชมป์ยุโรป และพาทีมชาติคว้าแชมป์ยุโรปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ครัฟฟ์ไม่เคยพาอัศวินสีส้มสัมผัสกับความสำเร็จในการแข่งขันฟุตบอลโลกได้เลยสักครั้ง โดยครั้งที่ใกล้เคียงที่สุดก็ทำได้เพียงแค่เข้าชิงกับทีมชาติเยอรมันตะวันตก ซึ่งจบลงด้วยความพ่ายแพ้ไปอย่างน่าเสียดายที่สกอร์ 2-1

หลังจากบอกลาการโลดแล่นในสนาม โยฮัน ครัฟฟ์ ผันตัวเป็นผู้จัดการทีม เคยบริหารทีมชั้นนำอย่าง อาแจ็กซ์ และบาร์เซโลนา ปัจจุบันเป็นผู้จัดการทีมดูแล คาตาโลเนีย สโมสรฟุตบอลในสเปน

โยฮัน ครัฟฟ์

แฮ็นดริก โยฮันเนิส ไกรฟฟ์ (ดัตช์: Hendrik Johannes Cruijff; 25 เมษายน พ.ศ. 2490 – 24 มีนาคม พ.ศ. 2559) เป็นอดีตนักฟุตบอลทีมชาติเนเธอร์แลนด์ผู้ได้ชื่อว่าเป็นตำนานแห่งทีมชาติเนเธอร์แลนด์ เจ้าของฉายา “นักเตะเทวดา” หรือ “ผู้สง่างาม” (De Majestueuze) ในภาษาดัตช์

ประวัติ

โยฮัน ไกรฟฟ์ มีชื่อเต็มว่า แฮ็นดริก โยฮันเนิส ไกรฟฟ์ (Hendrik Johannes Cruijff) เกิดเมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1947 ที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในครอบครัวฐานะปานกลาง ไกรฟฟ์เริ่มเล่นฟุตบอลข้างถนนในวัยเยาว์เหมือนเด็กคนอื่น ๆ ทั่วไป จากนั้นได้มีแมวมองจากสโมสรอาเอฟเซ อายักซ์ เข้ามาเห็นแวว ในที่สุดไกรฟฟ์ก็ทำสัญญาเข้าร่วมทีมเยาวชนของอายักซ์ สโมสรฟุตบอลใหญ่ของเนเธอร์แลนด์

ไกรฟฟ์ได้ขึ้นมาเล่นให้กับทีมชุดใญ่ด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปีเท่านั้น โดยยิงได้เพียงแค่ลูกเดียวตลอดฤดูกาลนั้น แต่ในฤดูกาลถัดมา ไกรฟฟ์ก็ได้ขึ้นมาเล่นเป็นตัวจริงของอายักซ์อย่างเต็มตัว ก่อนที่จะแสดงความสามารถพาอายักซ์คว้าแชมป์เอเรอดีวีซีได้แบบไร้คู่ต่อกร โดยไกรฟฟ์ยิงไปทั้งสิ้น 25 ประตู จากการลงเล่น 23 นัด คว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของเนเธอร์แลนด์ได้อีกหนึ่งรางวัลด้วยวัยเพียงแค่ 18 ปี

หลังจากนั้น ไกรฟฟ์ก็กลายมาเป็นนักฟุตบอลอันดับหนึ่งของวงการฟุตบอลเนเธอร์แลนด์ทันที และถูกเรียกตัวติดทีมชาติ แต่ว่าช่วงเวลาในทีมชาติช่วงแรกของไกรฟฟ์นั้นไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าใดนัก โดยเพียงแค่ในเกมที่สองในนามทีมชาติ ในนัดที่พบกับเชโกสโลวาเกีย ไกรฟฟ์โดนใบแดงไล่ออกจากสนาม และยังถูกราชสมาคมฟุตบอลเนเธอร์แลนด์ห้ามลงแข่งไปหนึ่งปีอีกต่างหากจากพฤติกรรมไม่เหมาะสม ทำให้ไกรฟฟ์ตั้งตัวเป็นศัตรูสมาคมทันที ทั้งที่มีอายุเพียงแค่ 19 ปี ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกอยู่เหมือนกันที่นักฟุตบอลวัยเยาว์เช่นนี้กล้าเป็นศัตรูกับสมาคมฟุตบอลของประเทศ

แม้ว่าจะมีปัญหาระหองระแหงกับสมาคมฟุตบอลของประเทศ แต่ว่ากับระดับทีมอายักซ์ ไกรฟฟ์ก็ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมอยู่ดี ตำแหน่งแชมป์ลีกในประเทศมักจะได้มาเป็นประจำ จนทำให้แฟนฟุตบอลของอายักซ์ เริ่มมองถึงเป้าหมายการเป็นแชมป์ยุโรปแล้ว

ในปี ค.ศ. 1969 ไกรฟฟ์พาอายักซ์ทะลุเข้าไปชิงชนะเลิศกับเอ.ซี. มิลาน แห่งอิตาลี แต่ทว่าท้ายที่สุดกลับเป็นมิลานที่ได้แชมป์ไปครองในที่สุด

แต่ด้วยฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรงของไกรฟฟ์ ทำให้มีเสียงเรียกร้องจากแฟนบอลให้เรียกตัวเขากลับมาเล่นให้กับทีมชาติอีกครั้ง และในที่สุดไกรฟฟ์ก็ได้รับโอกาสให้ติดทีมชาติอีกครั้ง

เมื่อได้โอกาส ไกรฟฟ์ก็สามารถยกระดับการเล่นของเนเธอร์แลนด์จากที่เคยเป็นแค่ทีมระดับไม้ประดับของยุโรปกลายมาเป็นทีมระดับแถวหน้าของทวีป ส่วนผลงานกับทีมอายักซ์ ไกรฟฟ์ก็สามารถพาอายักซ์ชนะเลิศยูโรเปียนคัพซึ่งเป็นความปรารถนาของแฟนฟุตบอลได้สำเร็จ หลังจากที่ได้เพื่อนร่วมทีมระดับคุณภาพอย่างโยฮัน เนสเกินส์ และรืด โกรล ในรูปแบบการเล่นที่เรียกว่า “โททัลฟุตบอล” (Total Football) อันเลื่องลือ ภายใต้การทำทีมของผู้จัดการอย่างรีนึส มีเคิลส์ เจ้าของฉายา “ท่านนายพล” ซึ่งก็ทำให้อายักซ์กลายเป็นยอดทีมฟุตบอลทีมหนึ่งของยุโรป ก่อนที่จะชนะปานาธีไนโกสจากกรีซได้แชมป์ยูโรเปียนคัพเมื่อปี ค.ศ. 1971 ได้สำเร็จในที่สุด

นอกจากนี้แล้วการคว้าแชมป์ดังกล่าว ทำให้ไกรฟฟ์ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปหรือบาลงดอร์ (Ballon d’Or) ไปครองอีกหนึ่งตำแหน่งด้วย นับเป็นนักฟุตบอลชาวดัตช์รายแรกที่ได้สัมผัสกับรางวัลนี้ หลังจากนั้นเขาก็พาอายักซ์คว้าแชมป์ยุโรปได้อีกสองสมัยซ้อน ซึ่งเป็นทีมแรกนับจากเรอัลมาดริดที่คว้าแชมป์รายการนี้ได้สามปีติดต่อกัน

จากความสำเร็จดังนี้ ไกรฟฟ์ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมบาร์เซโลนาแห่งสเปน ที่มีรีนึส มีเคิลส์ ผู้จัดการทีมคู่บารมีของเขาคุมทีมอยู่ โดยพาเอาโยฮัน เนสเกินส์ คู่หูตลอดกาลของเขามาด้วย และไกรฟฟ์ก็ไม่ทำให้แฟนของบาร์เซโลนาผิดหวัง เมื่อเขาพาทีมล้มเรอัลมาดริดและคว้าแชมป์ลาลิกาประจำปี ค.ศ. 1974 ได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะนัดที่อยู่ในความทรงจำ คือนัดที่ไกรฟฟ์และนักฟุตบอลคนอื่น ๆ ของบาร์เซโลนาสามารถบุกไปเอาชนะเรอัลมาดริด คู่ปรับตลอดกาล ถึงถิ่นด้วยประตูถล่มทลายถึง 5-0 ด้วยกัน

โยฮัน ครัฟฟ์

ในฟุตบอลโลก

จากนั้นเป้าหมายของไกรฟฟ์ก็คือ การพาเนเธอร์แลนด์คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในฟุตบอลโลก ปี ค.ศ. 1974 ที่เยอรมนีตะวันตก ซึ่งเนเธอร์แลนด์ (นำโดยรีนึส มีเคิลส์, โยฮัน ไกรฟฟ์ และบรรดานักฟุตบอลของอาเอฟเซ อายักซ์) เป็นเต็งหนึ่งของการแข่งขันครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย และก็มีทีท่าว่าจะเป็นได้จริงเมื่อเนเธอร์แลนด์เอาชนะได้ทั้งบราซิลแชมป์เก่าเมื่อคราวที่แล้ว และอาร์เจนตินา เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศกับเจ้าภาพเยอรมนีตะวันตกได้สำเร็จ ทว่าท้ายที่สุดกลับเป็นเยอรมนีตะวันตกที่ได้แชมป์ไปครองในที่สุด เมื่อสามารถพลิกเอาชนะไปได้ 2-1 จากการทำประตูของเพาล์ ไบรท์เนอร์ และแกร์ท มึลเลอร์ ทั้งที่เนเธอร์แลนด์เป็นฝ่ายทำประตูนำไปก่อนด้วยจากลูกยิงของโยฮัน เนสเกินส์

ต่อมาไกรฟฟ์ก็ยังคงเล่นให้กับทีมชาติในรอบคัดเลือก แต่ว่าเขากลับตัดสินใจที่จะไม่ไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่อาร์เจนตินา โดยให้เหตุผลว่า รับไม่ได้กับความเป็นเผด็จการของประเทศอาร์เจนตินา ซึ่งในครั้งนั้นเนเธอร์แลนด์ก็เป็นคู่ชิงชนะเลิศกับอาร์เจนตินาเจ้าภาพ และก็เป็นฝ่ายแพ้ไปอีกเหมือนเมื่อ 4 ปีก่อน

โยฮัน ครัฟฟ์

บั้นปลายชีวิตนักฟุตบอล

หลังจากนั้นไกรฟฟ์ก็ประกาศเลิกเล่นให้กับทีมชาติแบบถาวร ก่อนที่จะย้ายไปเล่นที่สหรัฐอเมริกากับลอสแอนเจลิสแอซเทกส์ ซึ่งในช่วงนั้นฟุตบอลลีกของสหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในช่วงที่ได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากมีนักฟุตบอลระดับโลกหลายรายไม่ว่าจะเป็นฟรันซ์ เบคเคนเบาเออร์ หรือเปเล่ เล่นอยู่ แต่ทว่าไกรฟฟ์ก็อยู่กับลีกนี้ได้ไม่นาน โดยในปี ค.ศ. 1981 เขากลับมาเล่นในสเปนอีกครั้งกับเลบันเต

และในปีถัดไกรฟฟ์ก็กลับมาเล่นให้กับทีมที่เขาเริ่มต้นอย่างอายักซ์ ซึ่งแม้ว่าวัยของเขาจะล่วงเลยมาถึง 34 ปี และเรี่ยวแรงจะไม่เหมือนเดิมแล้วก็ตาม แต่ว่าด้วยสไตล์การเล่นที่ปราดเปรียว ทำให้ไกรฟฟ์สามารถลงเล่นกับนักฟุตบอลรุ่นน้องได้อย่างสบาย ๆ เขานำทีมอายักซ์คว้าแชมป์ลีกได้อีกสองสมัย ก่อนที่จะย้ายไปร่วมทีมไฟเยอโนร์ดคู่ปรับร่วมลีก และเขาก็ตอกย้ำความเป็นผู้ชนะด้วยการคว้าแชมป์ลีกกับไฟเยอโนร์ดได้อีกต่างหาก ก่อนที่จะประกาศแขวนสตั๊ดไปในวัย 36 ปี

โยฮัน ครัฟฟ์

หลังแขวนสตั๊ดและเสียชีวิต

หลังแขวนสตั๊ด ไกรฟฟ์ก็หันไปเป็นผู้จัดการทีม โดยเป็นผู้จัดการทีมอาเอฟเซ อายักซ์, บาร์เซโลนา และฟุตบอลทีมชาติคาเทโลเนีย 

ชีวิตส่วนตัว โยฮัน ไกรฟฟ์ แต่งงานกับแดนนี คอสเตอร์ ในปลายปี ค.ศ. 1968 มีลูก ๆ ด้วยกันทั้งหมด 3 คน โดยลูกชายคนสุดท้อง คือ ยอร์ดี ไกรฟฟ์ เคยเป็นผู้เล่นตำแหน่งกองกลางตัวรุกของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแห่งอังกฤษอยู่ช่วงหนึ่งด้วย

ไกรฟฟ์เสียชีวิตในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559 ด้วยโรคมะเร็งปอด ในวัย 68 ปี ที่บาร์เซโลนา ประเทศสเปน

โยฮันน์ ครัฟฟ์

ในการแข่งขันยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2018–19 ทีมอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม (สำเนียงดัตช์ออกเสียงว่า ‘อายแอ็กซ์’ ในที่นี้จะใช้คำว่า ‘อาแจ็กซ์’ ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่คุ้นชินมากกว่าเพื่อให้อ่านสะดวก) เขี่ยเรอัล มาดริด และยูเวนตุส 2 ทีมยักษ์แห่งยุโรปตกรอบไปก่อนเวลาอันควรแบบที่เซียนต้องพักรักษาตัวกันหลายวัน

ผลงานครั้งนี้ชวนให้หวนกลับไปนึกถึงบุคลากรคนสำคัญ ซึ่งหลายคนมองว่าทำให้อาแจ็กซ์ มีวันนี้ได้

คนที่ถูกพูดถึงคือ โยฮัน ครัฟฟ์ (Johan Cruyff) ตำนานดัตช์ผู้ล่วงลับ (สำเนียงดัตช์ออกเสียงว่า ครอยฟฟ์ ในที่นี้จะใช้คำว่า ‘ครัฟฟ์’ ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่คุ้นชินมากกว่าเพื่อให้อ่านสะดวก) เขาคือคนลูกหนังที่ทั่วโลกยอมรับว่าเป็นผู้มีส่วนวางรากฐานนโยบายและแนวคิดต่อบุคลากรแถวหน้าของวงการฟุตบอลมากมาย โดยเฉพาะบุคลากรในบาร์เซโลน่า จนถึงอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในทุกวันนี้

จากการบรรยายของตำนานแข้งดัตช์ ปัจจัยสำคัญที่หล่อหลอมครัฟฟ์ คืออิทธิพลจากสภาพแวดล้อมตั้งแต่วัยเด็กมากกว่าสิ่งอื่นใด ครัฟฟ์ เกิดเมื่อ ค.ศ.1947 ในครอบครัวที่เปิดร้านขายผักผลไม้สดห่างจากสนามเดอ เมียร์ (De Meer) แค่ไม่กี่ร้อยเมตร พ่อของเขาแทบไม่เคยพลาดเกมของอาแจ็กซ์ ลุงของครัฟฟ์ก็เป็นนักฟุตบอลที่เล่นให้อาแจ็กซ์ในยุค 50s แม้จะเล่นไม่กี่นัดก็ตาม

พ่อของครัฟฟ์ มีเพื่อนเป็นคนดูแลพื้นสนามของอาแจ็กซ์ ซึ่งเพื่อนของพ่อเป็นคนชวนครัฟฟ์ มาช่วยงานเล็กน้อยเมื่อมีโอกาส เพื่อนของพ่อครัฟฟ์ ยังเป็นผู้ช่วยเหลือเขาหลังจากพ่อของครัฟฟ์เสียชีวิตตอนที่ครัฟฟ์อายุเพียง 12 ปี แข้งดัตช์ยกให้เพื่อนของพ่อรายนี้เป็น ‘พ่อคนที่ 2’ และยกให้ เจนี ฟาน เดอร์ วีน โค้ชทีมเยาวชนเป็นพ่ออีกราย ตามมาด้วย ไรนุส มิเชลส์ อีกหนึ่งโค้ชคนสำคัญของอาแจ็กซ์ เป็นเสมือนพ่ออีกคนด้วย

ก่อนจะมีผู้สอนวิชา ครูและโค้ชคนแรกของครัฟฟ์ คือท้องถนนที่ช่วยให้เขาพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับนักฟุตบอลเพื่อเอาตัวรอดในการเล่นกับเพื่อน

องค์ประกอบเหล่านี้คือคำตอบของคำถามที่คนมักสงสัยว่า “ทำไมครัฟฟ์ถึงยิงประตูหรือผ่านบอลจากจุดที่ไม่มีใครคาดคิดได้”

ประสบการณ์จากการเปลี่ยนจุดที่เสียเปรียบให้เป็นสิ่งที่มอบประโยชน์แทนคือเครื่องมือพัฒนาตัวเองที่สำคัญตามสภาพแวดล้อมที่ครัฟฟ์เติบโตมา

ตำนานแข้งดัตช์เล่าแบบตรงไปตรงมาว่า หลังผ่านยุคค้าแข้ง เมื่อมาทำงานสายบริหารในทีมอาแจ็กซ์ กลับพบว่า ต้องรับมือกับองค์กรที่ตกยุค ครัฟฟ์ชี้จุดอ่อนไปที่บุคลากรระดับสูง บอร์ดบริหารที่กุมอำนาจตัดสินใจสำคัญ แต่หลายรายกลับไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เคาะลงไปอย่างลึกซึ้งมักสร้างปัญหาใหญ่ตามมา เงินที่สูญเปล่าหลายล้าน ไปจนถึงผลงานของทีมที่ตกต่ำ

ต้นตอหนึ่งของปัญหา (ตามความเห็นของครัฟฟ์) มาจากวิธีฝึกซ้อมของอาแจ็กซ์ การซ้อมของอาแจ็กซ์ในช่วงที่มีปัญหายึดกับหลักการที่ทั้งไม่เข้าท่าและตกยุค

ที่พบเห็นคือเน้นซ้อมแบบรวมกลุ่มตามนโยบายสโมสร ไม่โฟกัสที่การพัฒนาศักยภาพของปัจเจกเพื่อปลูกฝังความเข้าใจและลับคมทักษะเฉพาะเจาะจง ประกอบกับช่วงเวลาเดียวกัน ครัฟฟ์ สังเกตว่า ความนิยมของการเล่นฟุตบอลบนท้องถนน (ที่เขามองว่าเป็นอิทธิพลที่หล่อหลอมเขามาด้วย) ก็เสื่อมลง ทั้งหมดนี้คือเหตุผลหลักที่ทำให้อาแจ็กซ์ และเนเธอร์แลนด์ ไม่สามารถยืนหยัดในหัวแถวทีมชั้นยอดของยุโรปในระยะยาว

ปัญหานี้เหมือนระเบิดเวลาที่เรื้อรังนานปี เริ่มออกฤทธิ์ในช่วงปี 2008 และมาปะทุในปี 2010 จุดพีกสำหรับครัฟฟ์ คือเกมที่แพ้เรอัล มาดริด 0-2 ในรอบแบ่งกลุ่มศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ครัฟฟ์มองว่า หากยังเล่นแบบนี้สกอร์อาจเป็น 0-12 ก็ได้ ด้วยอารมณ์ขัดใจ ครัฟฟ์เขียนบทความวิจารณ์ทีมรักแบบเละเทะลงสื่อ ความพ่ายแพ้และบทความนั้นเป็นจุดเปลี่ยนสู่การปฏิวัติของครัฟฟ์

ใจกลางของปัญหา ครัฟฟ์ เล็งเห็นว่าสโมสรเต็มไปด้วยคนที่ไม่มีองค์ความรู้เรื่องฟุตบอล เขาแนะนำว่าควรเป็นคนอย่าง วิม ยองค์ และ เดนนิส เบิร์กแคมป์ มาเป็นผู้สนับสนุนการทำงานในสนามของอาแจ็กซ์ ประการสำคัญคือ อาแจ็กซ์ ไม่สามารถแข่งกับทีมใหญ่ของยุโรปในเรื่องซื้อตัว จ่ายค่าตัวและค่าเหนื่อยแพงลิบไม่ไหว การเจรจากับเอเยนต์ส่วนตัวที่หน้าเลือดก็เป็นเรื่องรับมือยาก หนทางที่จะกลับไปสู่ความรุ่งเรืองคือหยุดซื้อนักเตะต่างชาติค่าตัวเกินฝีเท้า หันมาสร้างผู้เล่นเยาวชนที่โตมาจากภายในทีม

ครัฟฟ์ เชื่อมั่นในความสามารถของคนที่อาแจ็กซ์คุ้นเคยอย่าง วิม ยองค์, เดนนิส เบิร์กแคมป์, มาร์ก โอเวอร์มาร์ส ครัฟฟ์ เข้าไปขอความร่วมมือและผลักดันกระทั่งมีอดีตผู้เล่น 7 รายได้รับเลือกตั้งเข้าเป็นสมาชิกสภาของสโมสร

ก้าวแรกผ่านไปด้วยดี ยกต่อมา ครัฟฟ์ไปสู่เรื่องตำแหน่งคณะกรรมาธิการซึ่ง 3 ใน 5 ของสมาชิกบอร์ดเป็นคนหน้าใหม่ในอาแจ็กซ์ และไม่มีความรู้เรื่องฟุตบอล ครัฟฟ์มีไอเดียว่าเขาควรเข้าไปศึกษาประเมินเรื่องทางเทคนิคทีมเองและนำเสนอสิ่งที่พบต่อผู้อำนวยการใหม่ หลังจากนำเสนอแผนปฏิรูปสโมสร ซึ่งเน้นหนักที่การปัดฝุ่นอคาเดมีให้เป็นฟันเฟืองหลักอีกครั้ง บอร์ดที่ปรึกษาและซีอีโอของสโมสรลาออกเมื่อปลายมีนาคม 2011 ไม่กี่เดือนต่อมา ครัฟฟ์รับตำแหน่งเป็นบอร์ดที่ปรึกษา

อาแจ็กซ์ ภายใต้การคุมทีมของ ฟรองค์ เดอ บัว คว้าแชมป์ลีกเอเรดิวิซีติดต่อกันตั้งแต่ 2011-2014 ทิศทางการพัฒนาทีมและผู้เล่นภายใต้ ‘ปรัชญาแบบอาแจ็กซ์’ โดยคนที่เข้าใจฟุตบอลนำมาสู่ผู้เล่นหนุ่มที่สร้างชื่อในทีมได้หลายคน แต่ความสำเร็จช่วงแรกไม่ยืนยง ฤดูกาลต่อมา พีเอสวี คู่ปรับตัวยงกลับมาแย่งแชมป์ลีกคืน เดอ บัว เป็นอันต้องพ้นตำแหน่ง

คนที่มาแทนคือ ปีเตอร์ บอสซ์ อดีตแข้งดัตช์ที่เป็นแฟนติดตามผลงานของครัฟฟ์ตั้งแต่เด็กและได้อิทธิพลทางแนวคิดทำงานจากครัฟฟ์มาคุมทีม ผลงานที่ยอดเยี่ยมคือพาทีมที่มีมูลค่ารวมแค่ 20 ล้านยูโร เข้าชิงยูโรป้า ลีก 2017 เมื่อประสบความสำเร็จในลีกจากยุคเดอ บัว และได้เล่นในรายการยุโรปอย่างต่อเนื่อง ถึงจะหยุดแค่รอบแบ่งกลุ่มในแชมเปียนส์ ลีก 5 ฤดูกาลจาก 6 ฤดูกาล

การเล่นรายการยุโรปอย่างน้อยก็ช่วยให้การเงินของสโมสรดีขึ้น ขณะเดียวกันผู้บริหารที่ประชุมกันอย่างเดียวก็ลดจำนวนลง

การพัฒนาผู้เล่นเยาวชนที่กลายมาเป็นกำลังหลักของอาแจ็กซ์ ถือเป็นผลงานที่ชัดเจน ตั้งแต่เริ่มทำงานจนถึงวันสุดท้าย ยองค์สร้างรายได้ให้สโมสร 85 ล้านยูโร จากการขายนักเตะในระบบเยาวชนของสโมสร ทีมของยองค์ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในแชมเปี้ยนส์ ลีก ของทีมระดับเยาวชน แต่ประเด็นคือไม่ค่อยมีใครตั้งคำถามว่า เขาทำได้อย่างไร และได้แต่ยกให้ยองค์เป็นต้นแบบเท่านั้น

วิม ยองค์ เป็นหัวใจหลักของการพัฒนาอคาเดมี โดยนำแนวคิดของครัฟฟ์มาใช้ในช่วงที่ครัฟฟ์กลับมามีบทบาทในทีม ภายหลังจากที่ครัฟฟ์ตัดสินใจว่าพอกับอาแจ็กซ์แล้ว ไม่มีใครที่คอยหนุนหลังคนของครัฟฟ์ ผู้บริหารที่มีพื้นเพมาจากนายธนาคารก็ปลดคนที่ครัฟฟ์ไว้ใจออก

ถ้ายังจำกันได้ เมื่อปี 2017 อาแจ็กซ์ คือทีมที่แข่งนัดชิงชนะเลิศ ยูโรป้า ลีก กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผู้เล่นอาแจ็กซ์ ชุดที่ล้มลียง จากฝรั่งเศสในรอบรองชนะเลิศ เลกแรกผู้เล่นอาแจ็กซ์อายุเฉลี่ยแค่ 21 ปี 8 เดือน ส่วนเลก 2 มีผู้เล่น 7 รายที่อายุ 21 ปีหรือน้อยกว่านั้น (ประมาณ 1 ใน 3 ของทีมเป็นเยาวชน) ปีนั้นมีดาวโรจน์ร่างโย่งอย่าง มัทไธส์ เดอลิกต์ กองหลังดาวรุ่งชาวดัตช์ที่ตอนนี้เนื้อหอมสุด ๆ แฟรงกี้ เดอ ยอง มิดฟิลด์ดาวรุ่ง และ ดอนนี ฟาน เดอ บีค กองกลางที่ครบเครื่อง ที่กล่าวมานี้ไม่มีใครอายุถึง 21 ปี ในเกมที่ล้มลียง (บางคนยังมีชื่อเป็นตัวสำรอง)

‘คลาสออฟ 2019’ ชุดที่ เอริก เทน ฮาก กุนซือหนุ่มดัตช์ที่มาแรงที่สุดอีกคนในยุคนี้ทำทีมก็มีผู้เล่นดาวรุ่งจาก 2017 เป็นกำลังหลักในตำแหน่งสำคัญซะส่วนใหญ่ ซึ่ง เทน ฮาก ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้รับอิทธิพลจากครัฟฟ์ในทางอ้อม กล่าวคือ เทน ฮาก เคยถูก เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ดึงไปทำทีมสำรอง 2 ฤดูกาลก่อนมาคุมอูเทร็คท์ และย้ายมาเป็นกุนซืออาแจ็กซ์ เมื่อปลายปี 2017 (เป๊ป ได้ทำทีมบาร์เซโลน่า ส่วนหนึ่งก็เพราะครัฟฟ์เป็นอีกหนึ่งเสียงที่สนับสนุนคนอย่าง แฟรงค์ ไรจ์การ์ด และ เป๊ป ต่อบอร์ดเรื่องแต่งตั้งกุนซือ)

อิทธิพลของครัฟฟ์ต่ออาแจ็กซ์ จากวันแรกจนถึงวันที่เขาถอยออกมาแล้ว ไล่เรียงไปจนถึงมรดกที่ครัฟฟ์หลงเหลือไว้ แนวคิดของตำนานแข้งดัตช์จะยังคงปรากฏเสมอผ่านการทำงานของบุคลากรแถวหน้าของวงการฟุตบอลที่ได้รับอิทธิพลทางแนวคิด ได้รับแรงบันดาลใจจากแนวทางของครัฟฟ์ นับจากวันที่เป็นนักเตะจนถึงที่ปรึกษาสโมสรระดับโลก ฟันเฟืองเหล่านี้จะยังคงหมุนไปต่อเนื่อง ตราบใดที่แนวคิดและระเบียบวิธีถูกปฏิบัติอย่างครบถ้วน และระบบนี้จะส่งผ่านคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งแบบที่ครัฟฟ์ได้รับมาและถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลัง

เมื่อมองย้อนกลับไป ปรัชญาของครัฟฟ์ได้ผลมาตั้งแต่ยุค 80s ได้ผลกับอาแจ็กซ์ ได้ผลกับบาร์เซโลน่า หากไม่มีอุปสรรคเชิงโครงสร้างแบบที่ประสบก็มีแนวโน้มสูงมากที่แนวคิดนี้จะยังคงได้ผลต่อไป

ถ้ามีคำถามว่าหัวใจของการทำงานแบบครัฟฟ์ แผนการของครัฟฟ์’ คืออะไร อาจกล่าวได้ว่า มันคือ knowhow’ (ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ คน’ ที่รู้ knowhow) รู้ในสิ่งที่ตัวเองทำอย่างถ่องแท้ ให้ความสำคัญและใส่ใจในรายละเอียดทางเทคนิคตั้งแต่ฐานรากด้วยความเข้าใจอย่างลึกถึงแก่นจริง ๆ

โยฮัน ครัฟฟ์ โยฮัน ครัฟฟ์

แหล่งรวบรวมไฮไลท์ฟุตบอลต่างประเทศทั้งลีกใหญ่และลีกเล็ก
ขอบคุณผู้สนับสนุน 888hot / @pz88 /paizabet8 เว็บออนไลน์อันดับ1ของประเทศ
ขอบคุณแหล่งข้อมูล truevisions / beIN SPORTS Thailand / Siamsport / cheerball / Bundesliga

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *